ก่อนจะไปถึงปลีต้องกล่าวอ้างถึงกล้วยกันก่อน โดยในสมัยก่อน ชาวล้านนา(ภูมิภาคเหนือของไทย) นิยมปลูกกล้วย บริโภคกล้วย จึงมีความผูกพันกับกล้วยมาแต่โบราณ ที่สำคัญและน่าสนใจ คือมีความเชื่อเกี่ยวกับกล้วยมากมาย จนปัจจุบันเรายังเห็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ผ่านทางอาหารพื้นบ้านอย่าง “แกงปลี” ซึ่งก็จะมีสูตรต่างออกไปในแต่ละชุมชน แม้ในปัจจุบัน ปลีจะมีภาพจำเกี่ยวกับสรรพคุณในการบำรุงน้ำนมสตรี แต่ในอดีตกลับมีความเชื่อที่น่าทึงนั่นก็คือ  ห้ามหญิงมีครรภ์กินหัวปลี หรือปลีกล้วย โดยมีความเชื่อว่า เวลาคลอดลูก จะส่งผลให้รกขึ้นปิดลิ้นหัวใจ หรือ อาการรกบิน ซึ่งเป็น อาการไม่ออกมาตามปกติ แต่กลับตีขึ้นข้างบนแทนนั่นเอง หรือในอีกความเชื่อหนึ่งว่า ยางที่มาจากหัวปลี จะทำให้แม่คลอดลูกยาก เปลี่ยนรูปแบบรกของหญิงตั้งครรภ์ จะกลายเป็นรูปแบบปลีคลอดยาก แต่นั่นก็เป็นเพียงความเชื่อเท่านั้นเพราะในปัจจุบันนอกจากปลีจะมีงานวิจัยรองรับคุณค่าทางสารอาหารแล้ว ปลียังได้ถูกแปรรูปให้ทานง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชาหัวปลี น้ำหัวปลีผสมขิง  ยำหัวปลี คุ้กกี้หัวปลี ล้วนก็มาจากการประยุกต์ภูมิปัญญาเดิมเข้ากับนวัตรกรรมปัจจุบัน เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่รักสุขภาพ โดยเฉพาะคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร จึงสรุปได้ว่า จากความเชื่อในอดีตสามารถส่งต่อมรดกทางภูมิปัญญาจนกลายมาเป็นผลิตผลที่ให้คนยุคปัจจุบันต่อยอดจนเป็นหนึ่งในอาหารที่น่าจับตามองในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ….แล้ววันนี้ท่านเคยลองทานผลิตภัณฑ์จากปลีแล้วหรือยัง ?

สรรพคุณทางยาของหัวปลีที่คนโบราณว่าไว้ก็คือ บำรุงน้ำนมของแม่ลูกอ่อนที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร รักษาโรคกระเพราะ และแก้ร้อนใน ยางจากปลีกล้วยก็ใช้รักษาแผลสดหรือทาบริเวณที่แมลงกัดต่อยได้ นอกจากนี้ นักวิจัยชาวอินเดียยังพบว่า หัวปลีมีคุณสมบัติในการลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย
                     ในตำรายาพื้นบ้านของประเทศอินเดีย ได้ระบุว่า น้ำคั้นจากหัวปลีกล้วยมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ปลีกล้วยจึงเป็นอาหารสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะที่จะแนะนำให้นำ มาปรุงเป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน   นอกจากนี้ก็มีผลวิจัยพบว่าหัวปลีนั้นยังช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้ด้วย โดยการทดลองนั้นพบว่าการใช้สารสกัดจากหัวปลีสามารถป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้มากถึง 47.88-87.63% โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกิดแผลในกระเพาะอาหารจากการดื่มสุราอยู่เป็นประจำค่ะ