1.ช่วยสร้างความสัมพันธ์ให้แข็งแกร่งขึ้น

คู่รักหรือสัมพันธภาพรูปแบบอื่นๆจะแน่นแฟ้นแข็งแกร่งขึ้น บางครั้งก็ต้องผ่านการร้องไห้ กอดคอปลอบประโลม แชร์ความรู้สึกทุกข์ สุข เศร้า ซึ่งกันและกัน ซึ่งมองดูแล้วก็เป็นจิตวิทยาทางสังคม ที่นำไปสู่ความเข้าใจและเกื้อกูลกันหลังผ่านความเสียใจและเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย ซึ่งนั่นย่อมดีกว่าเย็นชาใส่กันแน่นอนครับ

2.ลดความดันโลหิต

การร้องไห้นอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้ว ยังช่วยปรับระดับการเต้นของหัวใจให้เข้าสู่สภาวะปกติ ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงได้นั่นเอง

3.ช่วยขับสารพิษ

ในน้ำตาของเราจะมีสารที่เป็นของเหลวชื่อว่า “ไลโซไซม์” ทำหน้าที่เป็นตัวกำจัดแบคทีเรียและเชื้อโรคต่างๆ ได้ถึง 90-95% แถมยังเป็นการรักษาความสะอาด เพิ่มความชุ่มชื้นรอบดวงตาแบบอ้อมๆ อีกด้วย

4.ปรับความสมดุลทางอารมณ์

ไม่ว่าจะรู้สึกทุกข์ เศร้า มีความสุข ประทับใจ ตลกขำขัน การได้ร้องไห้ถือว่าเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายที่ช่วยปรับสมดุลทางอารมณ์ ไม่ให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป นอกจากนี้การร้องไห้จะทำให้เราหายใจได้อย่างรวดเร็วและอิ่มปอดมากขึ้น เพื่อเป็นการช่วยลดอุณหภูมิในสมอง จากอารมณ์ร้อนๆ โมโหโกรธจัด ก็จะช่วยให้เย็นลง มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ชัดเจนมากขึ้น

เรียกว่าปรับสมดุลจากภายในสู่ภายนอกเลยทีเดียว

5.บรรเทาความเครียดความวิตกกังวล

ความเครียด ความกดดันที่ถาโถม ทำให้สารเคมีในร่างกายทำงานผิดปกติ สามารถปรับสมดุลให้ผ่อนคลายได้ด้วยการร้องไห้ พอหยุดแล้วเชื่อปะ ว่าร่างกายจะรู้สึกโล่งสบายใจขึ้นจริงๆ อย่างไม่น่าเชื่อ และสำหรับบางคนที่มักวิตกกังวลหรือตื่นเต้น ก่อนที่จะเริ่มทำงานสำคัญๆ อย่างการขึ้นเวทีต่อหน้าคนเยอะๆ การแอบไปร้องไห้ในที่ลับตา ก็ช่วยสร้างความผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวลได้ดีเหมือนกันครับ

      โดยสรุปแล้วจะเห็นว่าการร้องไห้ก็มีแง่มุมของการบำบัดรักษาตนเองให้ปลอดภัยจากความกลัว ความเศร้า และยังป้องกันภาวะของโรคได้ตามกลไกธรรมชาติ และย่อมดีขึ้นแน่นอนหากคุณสามารถมีทั้งสุขภาพกายและจิตที่ดีไปพร้อมๆกัน เราจึงสามารถปรับพฤติกรรมด้วยการพาตนเองไปผ่อนคลาย นอนหลับอย่างเหมาะสม และทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคู่กับการออกกำลังกาย ทั้งหมดนี้อาจจะทำให้คุณไม่ต้องจมน้ำตาและทดแทนด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขได้ครับ